วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

" กระจกวิเศษ "

                ไม่รู้เหมือนกันนะว่า  ถ้ามีกระจกวิเศษที่สามารถบอกได้  ว่าใครงามเลิศที่สุดในปฐพีอย่างในเทพนิยาย   ชีวิตของพวกเราจะสนุกขึ้นไหม  หรือถ้าหากกระจกวิเศษมีออปชั่นเสริม  เป็นต้นว่าค้นหาคนจริงใจที่สุด  ในโลก   หรือคนตอแหลที่สุดในจักรวาล   ชีวิตของพวกเราจะตื่นเต้นกว่าเดิมหรือเปล่า
                และถ้าหากมีจริง   แล้วพวกเราจะเชื่อใจได้ไหมนะว่ากระจกวิเศษไม่ตอแหลเสียเอง (นั่นสินะ.......บางที สโนว์ไวท์อาจะตายเพราะคำลวงของกระจกวิเศษก็เป็นได้)

                ถึงในชีวิตจริงจะไม่มีกระจกวิเศษไว้เพิ่มความสนุก   และตื่นเต้นให้กับตัวเอง   แต่คุณเชื่อไหมว่าผมมีกระจกวิเศษบานหนึ่งอยู่ในใจ...

                กระจกบานนี้เป็นกระจกวิเศษแสนพิเศษ   แต่ความพิเศษในความที่เป็นกระจกวิเศษไม่ได้อยู่ที่สามารถบอกได้ว่าใครงามเลิศที่สุดในปฐพี (ใครจริงใจหรือใครตอแหลที่สุดในจักรวาล)   แต่ความพิเศษของมันคือ   สามารถบอกบางอย่างเกี่ยวกับตัวเราได้

บางอย่างที่ว่า.... คือข้อดีและข้อเสียของผมเอง

                ระยะหลังมานี้ผมยืนประจันหน้ากับกระจกวิเศษบานนี้อยู่บ่อยครั้ง   บางทีอาจเป็นเพราะตัวเองว่างหรือไม่ก็แก้ขึ้น   หรือไม่บางทีก็อาจจะแค่กล้ามากขึ้นที่จะมองตัวเองย่างแจ่มชัดกว่าที่เคยเป็น  ด้วยเหตุนี้ผมจึงกล้าที่จะยืนอยู่หน้ากระจกวิเศษ   และได้พบความจริงว่าตัวเองมีข้อดีข้อเสียหลายอย่างเลยทีเดียว

                หากจะว่าไปแล้ว  คนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยมีเวลาว่างพอที่จะนั่งพิจารณาข้อดีและข้อเสียของตัวเองนัก   ดีที่สุดช่วงเวลาที่เราจะบอกคนอื่นว่า   อะไรคือข้อดีและข้อเสียของเรา   ก็คือช่วงเวลาที่ตอบคำถามจากการสัมภาษณ์งาน   (What's   your   strong   point   and   weak   point?)   ซึ่งคำตอบของข้อดีส่วนใหญ่ก็มักจะดี...ใจหาย   และข้อเสียก็มักจะเป็นความร้ายที่กำลังจะกลายเป็นข้อดี   จากความพยายามแก้ไข

                ผมก็เป็นแบบนั้น   และคงต้องทำแบบนั้นอย่างแน่นอน   ...ก็ใครเล่าจะกล้าบอกใครเขาว่าแท้จริงแล้วในสายตาของตัวเองข้อเสียของเราคือความร้ายกาจของข้าพเจ้าเอง   อันได้แก่...   จบเห่กันเลยละพี่น้อง
                บอกข้อดีและข้อเสียของตัวเองในระหว่างสัมภาษณ์งานคือการปฏิบัติตามชีวิตภาคทฤษฎี   แต่สำหรับภาคปฏิบัติแล้ว   คงไม่มีใครนอกจากเราและกระจกวิเศษแสนพิเศษบานนั้น   ที่มองเห็นความจริงเกี่ยวกับข้อเสีย


ผมกำลังมองเห็น
ข้อเสียของตัวเองอยู่กับข้อเสียบางอย่าง
ผมก็พยายามเปิดใจยอมรับว่ามันเป็นความจริง

                ความจริงแล้วมีข้อเสียบางอย่างที่ตัวเองรับรู้และยอมรับมาเนิ่นนานแล้ว   ในวาระที่ยอมรับ   เราก็พยายามอย่างยิ่งที่จะปรับปรุง (ทั้งปรับและปรุง)  ในฐานะที่ตัวเองไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้เพียงลำพัง  แต่ยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการมิตรภาพและความรักจากคนอื่น ๆ รอบกาย
               
                บางครั้งผมก็ประกาศกร้าวกับใครต่อใครบ้างเหมือนกันว่า   "ข้าไม่แคร์สื่อ"   แต่ความจริงในใจกลับเป็น   "แคร์..."   ก็ใครเล่าจะอยากโดนเฉดหัวออกไปจากกลุ่มก้อนหรือสังคมที่เราฝังกายอยู่   เพียงเพราะข้อเสียบางประการ  (ในสายตาคนหมู่มาก)  ที่เราแก้ไขได้  ดังนั้นเราจึงต้องจัดการกับมันให้ได้อย่างลงตัวที่สุด
                บางครั้งผมมีโอกาสได้ทำความรู้จักกับข้อเสียใหม่ที่ตัวเองไม่เคยได้รับรู้มาก่อน   แต่ได้มารับรู้ก็ต่อเมื่อกระจกวิเศษบานนั้นเลือกที่จะสะท้อนออกมาให้เห็น   ผมจึงได้มองเห็น

                ในบรรดาข้อเสียเหล่านั้น   บางอย่างผมเองก็ถึงกับอึ้งและเอ่ยขึ้นมาในใจว่า   "โอ้...นี่เราหรือ...ไม่ได้การละเราต้องจัดการกับมันเสียแล้ว"   แต่กับบางอย่างผมก็รู้สึกแค่ว่า  "ไม่จริง!   นั่นเป็นแต่เพียงสิ่งที่กระจกสะท้อนฝ่ายเดียวโดยไม่เคยถามหรือรับฟังเหตุผลจากปากของเราเลย...กระจกวิเศษคงถึงคราวชำรุด"

                จะว่าไปแล้วมนุษย์เราทุกคนย่อมมีเหตุผลในพฤติกรรมและนิสัย  (รวมไปถึง "นิสัยฝังแน่น" ที่คุณอาจเรียกมันด้วยคำอื่น)   แตกต่างกันออกไป   ดังนั้นบางครั้งเราจึงต้องการได้รับช่วงเวลาของการอรรถาธิบายก่อนจะถูกตัดสินว่ามันคือข้อเสีย

                แต่ส่วนใหญ่หากข้อที่ว่ามีผลต่อความรู้สึกของผู้อื่นไปแล้ว   ก็มักจะได้รับการตัดสินว่าเป็นข้อเสียก่อนจะได้รับช่วงเวลาของอรรถาธิบายเสมอ

                ที่จริงก่อนหน้านี้   ผมเคยคิดว่าถ้าวันหนึ่งตัวเองกล้าพอ   ผมจะเดินเข้าถามเพื่อนฝูงตรง ๆ ว่า   อะไรคือข้อเสียของตัวเราที่เพื่อน ๆ รับไม่ได้บ้าง   แต่จนแล้วจนรอด   วันนั้นก็ยังมาไม่ถึง   เพราะความกล้ายังมีไม่มากพอ   ด้วยเหตุนี้จงต้องอาศัยบริการของกระจกวิเศษแสนพิเศษต่อไป (แต่พอมันสะท้อนไม่ได้ดั่งใจ   ผมก็แอบรู้สึกในใจว่ามัยชำรุด)





ที่มา นะโม.(2554).อุ่นๆ ในหัวใจ.1.นนทบุรี.ธิงค์ บียอนด์บุ๊คส์