" กระจกวิเศษ "
ไม่รู้เหมือนกันนะว่า ถ้ามีกระจกวิเศษที่สามารถบอกได้ ว่าใครงามเลิศที่สุดในปฐพีอย่างในเทพนิยาย ชีวิตของพวกเราจะสนุกขึ้นไหม หรือถ้าหากกระจกวิเศษมีออปชั่นเสริม เป็นต้นว่าค้นหาคนจริงใจที่สุด ในโลก
หรือคนตอแหลที่สุดในจักรวาล ชีวิตของพวกเราจะตื่นเต้นกว่าเดิมหรือเปล่า
และถ้าหากมีจริง
แล้วพวกเราจะเชื่อใจได้ไหมนะว่ากระจกวิเศษไม่ตอแหลเสียเอง (นั่นสินะ.......บางที
สโนว์ไวท์อาจะตายเพราะคำลวงของกระจกวิเศษก็เป็นได้)
ถึงในชีวิตจริงจะไม่มีกระจกวิเศษไว้เพิ่มความสนุก และตื่นเต้นให้กับตัวเอง
แต่คุณเชื่อไหมว่าผมมีกระจกวิเศษบานหนึ่งอยู่ในใจ...
กระจกบานนี้เป็นกระจกวิเศษแสนพิเศษ
แต่ความพิเศษในความที่เป็นกระจกวิเศษไม่ได้อยู่ที่สามารถบอกได้ว่าใครงามเลิศที่สุดในปฐพี
(ใครจริงใจหรือใครตอแหลที่สุดในจักรวาล)
แต่ความพิเศษของมันคือ
สามารถบอกบางอย่างเกี่ยวกับตัวเราได้
บางอย่างที่ว่า....
คือข้อดีและข้อเสียของผมเอง
ระยะหลังมานี้ผมยืนประจันหน้ากับกระจกวิเศษบานนี้อยู่บ่อยครั้ง
บางทีอาจเป็นเพราะตัวเองว่างหรือไม่ก็แก้ขึ้น
หรือไม่บางทีก็อาจจะแค่กล้ามากขึ้นที่จะมองตัวเองย่างแจ่มชัดกว่าที่เคยเป็น
ด้วยเหตุนี้ผมจึงกล้าที่จะยืนอยู่หน้ากระจกวิเศษ และได้พบความจริงว่าตัวเองมีข้อดีข้อเสียหลายอย่างเลยทีเดียว
หากจะว่าไปแล้ว
คนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยมีเวลาว่างพอที่จะนั่งพิจารณาข้อดีและข้อเสียของตัวเองนัก ดีที่สุดช่วงเวลาที่เราจะบอกคนอื่นว่า อะไรคือข้อดีและข้อเสียของเรา
ก็คือช่วงเวลาที่ตอบคำถามจากการสัมภาษณ์งาน (What's your
strong point and
weak point?) ซึ่งคำตอบของข้อดีส่วนใหญ่ก็มักจะดี...ใจหาย
และข้อเสียก็มักจะเป็นความร้ายที่กำลังจะกลายเป็นข้อดี จากความพยายามแก้ไข
ผมก็เป็นแบบนั้น และคงต้องทำแบบนั้นอย่างแน่นอน
...ก็ใครเล่าจะกล้าบอกใครเขาว่าแท้จริงแล้วในสายตาของตัวเองข้อเสียของเราคือความร้ายกาจของข้าพเจ้าเอง อันได้แก่... จบเห่กันเลยละพี่น้อง
บอกข้อดีและข้อเสียของตัวเองในระหว่างสัมภาษณ์งานคือการปฏิบัติตามชีวิตภาคทฤษฎี แต่สำหรับภาคปฏิบัติแล้ว คงไม่มีใครนอกจากเราและกระจกวิเศษแสนพิเศษบานนั้น ที่มองเห็นความจริงเกี่ยวกับข้อเสีย
ผมกำลังมองเห็น
ข้อเสียของตัวเองอยู่กับข้อเสียบางอย่าง
ผมก็พยายามเปิดใจยอมรับว่ามันเป็นความจริง
ความจริงแล้วมีข้อเสียบางอย่างที่ตัวเองรับรู้และยอมรับมาเนิ่นนานแล้ว ในวาระที่ยอมรับ เราก็พยายามอย่างยิ่งที่จะปรับปรุง
(ทั้งปรับและปรุง) ในฐานะที่ตัวเองไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้เพียงลำพัง
แต่ยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการมิตรภาพและความรักจากคนอื่น ๆ รอบกาย
บางครั้งผมก็ประกาศกร้าวกับใครต่อใครบ้างเหมือนกันว่า "ข้าไม่แคร์สื่อ" แต่ความจริงในใจกลับเป็น "แคร์..." ก็ใครเล่าจะอยากโดนเฉดหัวออกไปจากกลุ่มก้อนหรือสังคมที่เราฝังกายอยู่ เพียงเพราะข้อเสียบางประการ (ในสายตาคนหมู่มาก) ที่เราแก้ไขได้
ดังนั้นเราจึงต้องจัดการกับมันให้ได้อย่างลงตัวที่สุด
บางครั้งผมมีโอกาสได้ทำความรู้จักกับข้อเสียใหม่ที่ตัวเองไม่เคยได้รับรู้มาก่อน แต่ได้มารับรู้ก็ต่อเมื่อกระจกวิเศษบานนั้นเลือกที่จะสะท้อนออกมาให้เห็น ผมจึงได้มองเห็น
ในบรรดาข้อเสียเหล่านั้น
บางอย่างผมเองก็ถึงกับอึ้งและเอ่ยขึ้นมาในใจว่า
"โอ้...นี่เราหรือ...ไม่ได้การละเราต้องจัดการกับมันเสียแล้ว" แต่กับบางอย่างผมก็รู้สึกแค่ว่า "ไม่จริง!
นั่นเป็นแต่เพียงสิ่งที่กระจกสะท้อนฝ่ายเดียวโดยไม่เคยถามหรือรับฟังเหตุผลจากปากของเราเลย...กระจกวิเศษคงถึงคราวชำรุด"
จะว่าไปแล้วมนุษย์เราทุกคนย่อมมีเหตุผลในพฤติกรรมและนิสัย (รวมไปถึง "นิสัยฝังแน่น"
ที่คุณอาจเรียกมันด้วยคำอื่น)
แตกต่างกันออกไป ดังนั้นบางครั้งเราจึงต้องการได้รับช่วงเวลาของการอรรถาธิบายก่อนจะถูกตัดสินว่ามันคือข้อเสีย
แต่ส่วนใหญ่หากข้อที่ว่ามีผลต่อความรู้สึกของผู้อื่นไปแล้ว
ก็มักจะได้รับการตัดสินว่าเป็นข้อเสียก่อนจะได้รับช่วงเวลาของอรรถาธิบายเสมอ
ที่จริงก่อนหน้านี้ ผมเคยคิดว่าถ้าวันหนึ่งตัวเองกล้าพอ ผมจะเดินเข้าถามเพื่อนฝูงตรง ๆ ว่า อะไรคือข้อเสียของตัวเราที่เพื่อน ๆ
รับไม่ได้บ้าง แต่จนแล้วจนรอด วันนั้นก็ยังมาไม่ถึง เพราะความกล้ายังมีไม่มากพอ ด้วยเหตุนี้จงต้องอาศัยบริการของกระจกวิเศษแสนพิเศษต่อไป
(แต่พอมันสะท้อนไม่ได้ดั่งใจ
ผมก็แอบรู้สึกในใจว่ามัยชำรุด)
ที่มา นะโม.(2554).อุ่นๆ ในหัวใจ.1.นนทบุรี.ธิงค์ บียอนด์บุ๊คส์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น